Apple ยอมถอย! ยกเลิกฟีเจอร์ความปลอดภัย iPhone ในอังกฤษ

February 23, 2025

Apple ยกเลิกฟีเจอร์ความปลอดภัย iPhone หลังรัฐบาลอังกฤษพยายามสอดแนมผู้ใช้

Apple ได้ตัดสินใจยกเลิก Advanced Data Protection (ADP) หนึ่งในฟีเจอร์ความปลอดภัยที่สำคัญของ iPhone สำหรับผู้ใช้ในสหราชอาณาจักร (UK) หลังจากที่รัฐบาลอังกฤษพยายามเรียกร้องให้บริษัทเปิดช่องทางให้หน่วยงานภาครัฐสามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ได้ การตัดสินใจนี้ก่อให้เกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัยของข้อมูล และอำนาจของรัฐบาลในการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล

Apple Advanced Data Protection คืออะไร

Advanced Data Protection (ADP) เป็นฟีเจอร์ที่ Apple เปิดตัวเพื่อเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลใน iCloud โดยใช้การเข้ารหัสแบบ End-to-End Encryption ซึ่งหมายความว่าแม้แต่ Apple เองก็ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ได้ ฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลจากการถูกโจมตีทางไซเบอร์ หรือการเข้าถึงโดยบุคคลที่สาม

Apple ได้เปิดตัวฟีเจอร์นี้เพื่อให้ผู้ใช้สามารถปกป้องข้อมูลที่สำคัญ เช่น รูปภาพ วิดีโอ ข้อความ และข้อมูลสำรองของอุปกรณ์ โดยไม่มีความเสี่ยงที่บุคคลภายนอกจะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้

เหตุผลที่ Apple ยกเลิกฟีเจอร์ ADP ในอังกฤษ

สาเหตุหลักของการตัดสินใจครั้งนี้มาจากกฎหมาย Investigatory Powers Act 2016 (IPA 2016) ซึ่งเป็นกฎหมายของรัฐบาลอังกฤษที่กำหนดให้บริษัทเทคโนโลยีต้องให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ เมื่อมีคำสั่งจากหน่วยงานข่าวกรองหรือเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย

รัฐบาลอังกฤษต้องการให้ Apple เปิดช่องทางพิเศษ หรือ “Backdoor” ในระบบความปลอดภัย เพื่อให้สามารถสอดส่องข้อมูลของผู้ใช้ได้ อย่างไรก็ตาม Apple ยืนยันว่าการสร้าง Backdoor จะเป็นการลดมาตรฐานความปลอดภัยโดยรวม และเสี่ยงต่อการถูกแฮ็กเกอร์หรือองค์กรอาชญากรรมใช้ประโยชน์

ผลกระทบต่อผู้ใช้ iPhone ในอังกฤษ

ความปลอดภัยของข้อมูลลดลง – ข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ใน iCloud อาจมีความเสี่ยงสูงขึ้น เนื่องจากไม่ได้รับการปกป้องด้วยการเข้ารหัส End-to-End
อาจถูกสอดแนมจากภาครัฐ – การที่รัฐบาลสามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ได้อาจนำไปสู่ข้อกังวลเรื่องการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว
Apple อาจเผชิญแรงกดดันจากประเทศอื่น ๆ – หากรัฐบาลอังกฤษสามารถบังคับให้ Apple ยอมรับข้อกำหนดนี้ได้ อาจมีประเทศอื่น ๆ ที่เรียกร้องสิทธิเดียวกัน

การตอบสนองของ Apple

Apple แสดงความผิดหวังที่ไม่สามารถให้บริการฟีเจอร์ Advanced Data Protection ในอังกฤษได้ โดยออกแถลงการณ์ว่า “Apple ยังคงมุ่งมั่นที่จะมอบความปลอดภัยสูงสุดให้กับข้อมูลของผู้ใช้ และหวังว่าจะสามารถนำฟีเจอร์นี้กลับมาให้บริการในอนาคต”

นอกจากนี้ Apple ยังแสดงจุดยืนว่า “การเปิดช่องทางให้รัฐบาลเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้เป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักการด้านความปลอดภัยของบริษัท” ซึ่งอาจทำให้ Apple ถูกกดดันจากหน่วยงานรัฐมากขึ้นในอนาคต

ปฏิกิริยาจากผู้ใช้และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย

การตัดสินใจของ Apple ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในหมู่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์และกลุ่มผู้สนับสนุนสิทธิความเป็นส่วนตัว

ผู้ใช้ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวไม่พอใจ เนื่องจากการเข้ารหัส End-to-End ถูกมองว่าเป็นเกราะป้องกันที่สำคัญสำหรับข้อมูลส่วนตัว
ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเตือนว่า การเปิดช่องทางพิเศษให้รัฐบาลอาจเป็นช่องโหว่ที่แฮ็กเกอร์สามารถใช้ประโยชน์ได้
องค์กรด้านสิทธิความเป็นส่วนตัวแสดงความกังวล ว่าการยกเลิกฟีเจอร์นี้อาจนำไปสู่การควบคุมที่เข้มงวดขึ้นจากรัฐบาลในอนาคต

อนาคตของความเป็นส่วนตัวในอังกฤษ

กรณีของ Apple และรัฐบาลอังกฤษสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่าง ความปลอดภัยทางไซเบอร์และสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ในยุคดิจิทัล หลายฝ่ายกังวลว่าหาก Apple ยอมทำตามคำสั่งของรัฐบาลอังกฤษ อาจทำให้รัฐบาลประเทศอื่น ๆ ออกกฎหมายที่คล้ายกัน และลดระดับความปลอดภัยของข้อมูลโดยรวม

คุณคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?

คุณคิดว่าการที่รัฐบาลสามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้เป็นสิ่งที่จำเป็นหรือไม่?
Apple ควรยอมทำตามกฎหมายของอังกฤษ หรือควรยืนหยัดเพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้?
คุณมีมาตรการอย่างไรในการปกป้องข้อมูลส่วนตัวของคุณ?

แสดงความคิดเห็นของคุณด้านล่าง และแชร์บทความนี้เพื่อให้เพื่อน ๆ ของคุณได้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้!

สรุปประเด็นสำคัญ

Apple ยกเลิกฟีเจอร์ Advanced Data Protection ในอังกฤษ เนื่องจากแรงกดดันจากรัฐบาล
กฎหมาย Investigatory Powers Act 2016 เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้รัฐบาลอังกฤษต้องการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้
ผู้ใช้ iPhone ในอังกฤษอาจได้รับผลกระทบจากความปลอดภัยของข้อมูลที่ลดลง
มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับสิทธิความเป็นส่วนตัว และความสมดุลระหว่างความมั่นคงของรัฐและสิทธิของประชาชน
Apple ยังคงยืนยันในจุดยืนด้านความปลอดภัยและปกป้องข้อมูลของผู้ใช้

Post Views: 103