AI คลื่นลูกใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกการทำงาน
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง มีการคาดการณ์ว่า AI จะส่งผลกระทบต่อตำแหน่งงานทั่วโลกประมาณ 40% ภายในปี 2030 โดยตำแหน่งงานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ ตำแหน่งงานในภาคการผลิต ภาคบริการ และภาคการเงิน
สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว คาดว่า AI จะส่งผลกระทบต่อตำแหน่งงานประมาณ 60% โดยตำแหน่งงานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่
- ตำแหน่งงานในภาคการผลิต เช่น พนักงานประกอบชิ้นส่วน พนักงานควบคุมเครื่องจักร พนักงานคลังสินค้า
- ตำแหน่งงานในภาคบริการ เช่น พนักงานต้อนรับ พนักงานขาย พนักงานบริการลูกค้า
- ตำแหน่งงานในภาคการเงิน เช่น พนักงานวิเคราะห์ข้อมูล พนักงานตรวจสอบบัญชี พนักงานสินเชื่อ
เหตุผลที่ AI ส่งผลกระทบต่อตำแหน่งงานในภาคการผลิต ภาคบริการ และภาคการเงิน เนื่องมาจากลักษณะของงานเหล่านี้ที่สามารถทำซ้ำได้ง่ายและสามารถประมวลผลด้วยข้อมูลจำนวนมาก ซึ่ง AI สามารถเรียนรู้และทำงานเหล่านี้ได้มีประสิทธิภาพมากกว่ามนุษย์
อย่างไรก็ตาม ยังมีตำแหน่งงานอีกหลายประเภทที่ AI ไม่สามารถทดแทนมนุษย์ได้ เช่น ตำแหน่งงานที่ต้องใช้ทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ ทักษะด้านสังคม และทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ เป็นต้น
ผลกระทบของ AI ต่องานในภาคการผลิต ภาคบริการ และภาคการเงิน จะทำให้แรงงานในภาคเหล่านี้ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แรงงานควรพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานร่วมกับ AI เช่น ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ทักษะด้านการวิเคราะห์ข้อมูล และทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น
นอกจากนี้ รัฐบาลและภาคเอกชนควรร่วมกันสร้างกลไกในการรองรับแรงงานที่ได้รับผลกระทบจาก AI เช่น การจัดหาหลักสูตรฝึกอบรมทักษะที่จำเป็น การจัดหางานใหม่ให้กับแรงงานที่ตกงาน เป็นต้น
ตัวอย่างผลกระทบของ AI ต่องานในประเทศที่พัฒนาแล้ว ได้แก่
- ในสหรัฐอเมริกา คาดว่า AI จะส่งผลให้ตำแหน่งงานในภาคการผลิตหายไปประมาณ 10 ล้านตำแหน่งภายในปี 2030
- ในสหราชอาณาจักร คาดว่า AI จะส่งผลให้ตำแหน่งงานในภาคบริการหายไปประมาณ 8 ล้านตำแหน่งภายในปี 2030
- ในญี่ปุ่น คาดว่า AI จะส่งผลให้ตำแหน่งงานในภาคการเงินหายไปประมาณ 6 ล้านตำแหน่งภายในปี 2030
ทั้งนี้ ผลกระทบของ AI ต่องานในประเทศที่พัฒนาแล้วอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ โครงสร้างอุตสาหกรรม และนโยบายของรัฐบาล